กิจการทหารของไทยมีอยู่ควบคู่กับประวัติศาสตร์ชาติไทยตลอดมา ตั้งแต่ชนชาวไทยได้รวมกันเป็นแว่นแคว้นในสุวรรณภูมิ มีตำนานเล่าขานสืบมาช้านาน มีแบบอย่างที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเองที่ได้ประยุกต์มาจากภูมิปัญญาของไทย
เมื่อเกิดอาณาจักรสุโขทัยขึ้นในปลายพุทธศตวรรษที่ 18 จากหลักฐานทางศิลาจารึกพบว่า พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้บังคับบัญชาทหารโดยตรงและทรงนำกองทัพเข้าสงครามด้วยพระองค์เองในฐานะเป็นจอมทัพบรรดาชายฉกรรจ์ทั้งปวงจะเป็นทั้งพลเมืองและทหารในกองทัพหลวง ตามกรมกองที่ตนสังกัด
การฝึกหัดทหาร จะใช้หัวหน้าสกุลในแต่ละหมู่บ้านเป็นผู้ควบคุมฝึกสอนวิชาการต่อสู้ เมื่อเกิดศึกสงครามทหารทุกคนจะมีอาวุธคู่มือที่ตนได้ฝึกซ้อมไว้ช่ำชองดีแล้วพร้อมที่จะใช้งานส่วนเสบียงอาหารก็จะเตรียมไว้เฉพาะตน ในขั้นต้นมีความสมบูรณ์ในตนเอง พร้อมที่จะออกศึกได้ทันที
การสร้างค่าย คู ประตู หอรบนั้นจะมีอยู่ทั้งที่ตั้งปกติ คือเมืองซึ่งจะมีการสร้างอย่างถาวร สมบูรณ์แข็งแรงตามขนาดและความสำคัญของเมืองนั้น ๆ และจะสร้างอย่างชั่วคราวเมื่อยกทัพไปทำศึกและต้องหยุดทัพตั้งมั่น ดังจะเห็นได้จากเมืองโบราณทุกแห่งสำหรับกรุงสุโขทัยซึ่งเป็นเมืองหลวง จะมีการสร้างคันดินคูน้ำเป็นกำแพงเมือง และมีคูเมืองล้อมรอบอยู่สามชั้นเรียกว่า ตรีบูร มีป้อมประจำประตูเมืองทั้งสี่ทิศ
อาณาเขตของกรุงสุโขทัยในระยะที่ชนชาวไทยตั้งตนเป็นอิสระในปี พ.ศ. 1800 นั้นมีแคว้นสำคัญที่อยู่โดยรอบดังนี้
ด้านเหนือ ติดกับแคว้นล้านช้างและล้านนา
แคว้นล้านนา ประกอบด้วย เมืองต่าง ๆ ที่ชนชาวเผ่าไทยปกครองตนเอง เป็นส่วนใหญ่เช่น เมืองเชียงราย เมืองพะเยา เมืองน่านเมืองแพร่ และเมืองหริภุญชัย (ลำพูน) ซึ่งปกครองด้วยราชวงศ์จามเทวี (มอญ)
แคว้นล้านช้าง ซึ่งเป็นถิ่นของชนชาวเผ่าไทย เช่นกันแต่เรียกชื่อว่าลาว มีเมือง ชวา (หลวงพระบาง) เป็นราชธานี
ในระยะนั้นทั้งสองแคว้นคือ ล้านนาและล้านช้างยังมีฐานะเป็นเมืองส่วยของอาณาจักรกัมพูชา
ด้านตะวันออก มีอาณาจักรกัมพูชาซึ่งราชวงศ์ขอมปกครองอยู่ และยังมีอำนาจแผ่เข้ามาปกครองหัวเมืองในภาคอีสานของไทยในปัจจุบันแต่อยู่ในสภาพที่อ่อนแอลงไปมาก
ด้านใต้ มีแคว้นละโว้ซึ่งยังอยู่ในปกครองของขอม ประกอบด้วยเมืองอโยธยา เมืองสุพรรณบุรีเมืองกาญจนบุรี เมืองเพชรบุรี เมืองราชบุรี เมืองศรีวิชัย (นครชัยศรี)และเมืองนครศรีธรรมราช
ด้านตะวันตก มีอาณาจักรพุกามของพม่าประกอบด้วยเมืองตะนาวศรี เมืองทวาย เมืองเมาะตะมะ เมืองตองอู มีชนพื้นเมืองเป็นชาวมอญกระหนาบอยู่ และมีเมืองฉอด ที่มีชนเผ่าไทยปกครองอยู่
ในช่วงระยะเกือบ 200 ปี (พ.ศ. 1800-1981) อาณาจักสุโขทัย ได้แผ่ไพศาลไปอย่างกว้างขวางในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช (พ.ศ. 1822-1862) จากศิลาจารึกหลักที่ 1 ดังนี้
ทิศเหนือ ได้เมืองหลวงพระบาง
ทิศตะวันออก ได้เมืองเวียงจันทน์ และเมืองเวียงคำ
ทิศใต้ ได้เมืองนครศรีธรรมราช ไปจนสุดแหลมมาลายู
ทิศตะวันตก ได้เมืองหงสาวดีไว้ในอำนาจ
การดำเนินการด้านยุทธศาสตร์
เพื่อให้เกิดความมั่นคงปลอดภัยของราชธานีซึ่งถือว่า เป็นหัวใจของอาณาจักร เพราะการเสียราชธานีก็เท่ากับเป็นการเสียราชอาณาจักร เพราะราชธานีเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจในทุกด้าน ดังนั้น การระวังป้องกันสร้างความมั่นคงปลอดภัยให้แก่ราชธานีจึงนับว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญยิ่งของราชอาณาจักร
การแบ่งพื้นที่การปกครอง ในสมัยสุโขทัยได้กำหนดพื้นที่เป็น 3 ชั้น ตัวราชธานี เป็นเขตชั้นใน บรรดาเมืองต่าง ๆที่อยู่รายรอบราชธานี เป็นเขตชั้นกลาง และเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ชั้นนอกออกไปเป็นเมืองประเทศราช
หัวเมืองชั้นกลาง สันนิษฐานว่าน่าจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ เมืองลูกหลวง และหัวเมืองใหญ่
เมืองลูกหลวง เป็นเมืองที่ทรงส่งลูกหลวงหรือบุคคลสำคัญในราชวงศ์ หรือข้าหลวงที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยไปปกครองมีหน้าที่เตรียมกำลังทหาร ไว้ป้องกันพื้นที่ของตนเองและของราชธานีหรือสมทบกำลังเข้ากับทัพหลวง จึงเรียกว่า เมืองหน้าด่าน เมืองหน้าด่านนี้จะตั้งอยู่บนเส้นทางเดินทัพเข้าสู่ราชธานีทั้งสี่ทิศที่จะต้องใช้เวลาเดินทัพประมาณ 1 วัน ซึ่งเป็นระยะทางประมาณ 50 กิโลเมตร ดังนั้นทางด้านทิศเหนือจะมีเมืองศรีสัชนาลัย ทางด้านทิศตะวันออกจะมีเมืองสองแคว (พิษณุโลก)ทางด้านทิศใต้มีเมืองสระหลวง (เมืองพิจิตรเก่า) และทางด้านทิศตะวันตก มีเมืองนครชุม
หัวเมืองใหญ่ หรือที่เรียกกันภายหลังว่าเมืองพระยามหานคร มีขุนเป็นผู้ปกครอง เว้นแต่ด้านการต่างประเทศและด้านการทหารต้องขึ้นกับราชธานี ดังนั้นเมื่อเกิดศึกสงคราม จะได้รับคำสั่งให้ยกมาสมทบกองทัพหลวงเมืองดังกล่าวได้แก่เมืองฉอด เมืองพระบาง และเมืองเชียงของ เป็นต้น
ประเทศราช หรือเมืองออก เป็นดินแดนที่ปกครองตนเองเพียงแต่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการแก่ราชธานี ตามจำนวนและระยะเวลาที่กำหนด และเมื่อราชธานีเกิดมีสงครามใหญ่ อาจมีพระบรมราชโองการให้ยกทัพไปช่วยก็ได้ เมืองดังกล่าวได้แก่ เมืองแพร่ เมืองน่าน เมืองชวา (หลวงพระบาง) เมืองเวียงจันทน์เมืองหงสาวดี เมืองสุพรรณภูมิ และเมืองนครศรีธรรมราชเป็นต้น
การเตรียมกำลังทหาร
มีหลักอยู่ว่า ผู้ชายไทยทุกคนต้องเป็นทหารดังนั้นในยามปกติ ก็ดำเนินชีวิตไปตามครรลองของตน แต่เมื่อเกิดศึกสงครามทุกคนก็ทำหน้าที่เป็นทหาร การที่จะดำรงอยู่ในภาวะดังกล่าวได้จะต้องมีระบบรองรับโดยที่เริ่มจากระดับล่างสุด คือครอบครัว โดยที่หัวหน้าครอบครัวหรือหัวหน้าสกุล ทำหน้าที่ควบคุมทหารในสกุลของตน เรียกว่าเจ้าหมู่ จัดว่าเป็นหน่วยทหารที่เล็กที่สุดในระบบการจัด สำหรับตัวพ่อขุนจะเป็นจอมทัพด้วยพระองค์เอง
เมื่อสันนิษฐานจากข้อมูลในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 1 พออนุมานได้ว่า ชาวไทยชาวสุโขทัยทุกคนต้องเป็นทหารเมื่ออายุ 18 ปีและปลดพ้นการเป็นทหารเมื่ออายุ 60 ปี เกณฑ์นี้ได้ถือปฏิบัติต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา
การจัดเหล่าทหาร ไม่มีหลักฐานแน่ชัดแต่ที่พบในมังรายศาสตร์ มีการจัดเหล่าทหารไว้เป็นสามเหล่าคือ
ชั้นสูง ได้แก่ เหล่าพลช้าง เรียกว่า นายช้าง
ชั้นกลาง ได้แก่ เหล่าพลม้า เรียกว่า นายม้า
ชั้นต่ำ ได้แก่ เหล่าพลราบ เรียกว่า นายตีน
การจัดหน่วยทหาร ตามมังรายศาสตร์ได้กล่าวถึงการจัดหน่วยทหาร ตั้งแต่เล็กไปใหญ่ตามหลักจำนวนไพร่พลที่มีอยู่ในหน่วยนั้น ๆ เริ่มต้นจากหน่วยเล็กที่สุดคือ
ไพร่สิบคน ให้มีนายสิบผู้หนี่ง ข่มกว้านผู้หนึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ติดต่อ (เทียบเท่าผู้บังคับหมู่ในปัจจุบัน)
นายสิบห้าคน ให้มีนายห้าสิบผู้หนึ่งมีปากขวาและปากซ้ายเป็นผู้ช่วย (เทียบเท่าผู้บังคับหมวดในปัจจุบัน)
นายห้าสิบสองคน ให้มีนายร้อยผู้หนึ่ง (เทียบเท่ากับผู้บังคับกองร้อยในปัจจุบัน)
นายร้อยสิบคนให้มีเจ้าพันผู้หนึ่ง (เทียบเท่ากับผู้บังคับกองพันในปัจจุบัน)
เจ้าพันสิบคน ให้มีเจ้าหมื่นผู้หนึ่ง (เทียบเท่ากับผู้บัญชาการกองพลในปัจจุบัน)
เจ้าหมื่นสิบคน ให้มีเจ้าแสนผู้หนึ่ง (เทียบเท่ากับแม่ทัพในปัจจุบัน)
การจัดดังกล่าวนี้ร่วมสมัยกับสมัยกรุงสุโขทัยจึงอาจนำมาใช้กับการทหารของกรุงสุโขทัยได้
อาวุธยุทโธปกรณ์ อาวุธที่ใช้ในสมัยนั้นจะเป็นอาวุธประจำกายของแต่ละบุคคลทั้งสิ้น เช่น ทวน หอก ดาบ แหลน หลาว เกาทัณฑ์หน้าไม้ ของ้าว ง้าว ตะบอง ขวาน เป็นต้น อาวุธดังกล่าวนี้ทุกคนจะมีอยู่ประจำตัวตามความถนัดของแต่ละคนและมีการฝึกใช้อาวุธนั้น ๆ อย่างช่ำชองดีแล้วตั้งแต่ในยามปกติ เป็นอาวุธคู่มือเมื่อเกิดศึกสงครามก็จะใช้อาวุธคู่มือนี้เข้าทำการรบ
เสบียงอาหารจะมีการนำติดตัวไปจำนวนหนึ่งไว้ใช้เมื่อจำเป็นในขั้นแรกโดยธรรมดาจะแสวงหาอาหารในท้องถิ่นกิน ส่วนเสบียงอาหารสำหรับกองทัพจะส่งไปจากราชธานีและหัวเมืองใหญ่ส่วนหนึ่งกับเรียกเกณฑ์ให้ผู้ปกครองท้องถิ่นเตรียมเอาไว้ล่วงหน้า แล้วคอยจ่ายให้เมื่อกองทัพเดินทางมาถึง
ด้านยานพาหนะอันประกอบด้วย ช้าง ม้า วัวและเกวียน ใช้เป็นส่วนกำลังรบ และส่วนสนับสนุน การรบ กล่าวคือ
ช้าง ใช้เป็นพาหนะของแม่ทัพเข้าต่อสู้กับแม่ทัพฝ่ายข้าศึก ที่เรียกว่าทำยุทธหัตถีใช้เป็นกำลังเข้าบุกตลุยข้าศึกในสนามรบและใช้ในการลำเลียงในถิ่นทุรกันดารที่เป็นพื้นที่ป่าเขา
ม้า ใช้เป็นพาหนะของผู้บังคับบัญชาทหารในระดับรองลงมาใช้เป็นพาหนะของหน่วยทหารม้าที่ต้องการเคลื่อนที่เร็ว ใช้ในการลาดตระเวณหาข่าวการติดต่อสื่อสาร
วัว ใช้เทียมเกวียนบรรทุกสัมภาระต่าง ๆ ทุกประเภทโดยเฉพาะอย่างยิ่งเสบียงอาหาร
ผลประโยชน์ที่ทหารได้รับ
การป้องกันบ้านเมือง เพื่อมิให้ตกเป็นทาสของฝ่ายข้าศึกก็เป็นการป้องกันตนและครอบครัวไม่ให้ตกอยู่ในฐานะดังกล่าว นอกจากนี้เมื่อได้ชัยชนะต่อข้าศึกก็จะได้รับส่วนแบ่งจากทรัพย์สมบัติของข้าศึกที่ยึดมาได้ ได้เชลยมาใช้สอย เพราะทหารที่ไปรบไม่มีเบี้ยเลี้ยง เงินเดือน เป็นรายได้ประจำแต่จะมีเกณฑ์การได้บำเหน็จความชอบในรูปแบบต่าง ๆ ในมังรายศาสตร์มีกำหนดไว้ตอนหนึ่งว่า
"นายตีนผู้ใดรบศึกในสนามรบ ได้หัวนายช้าง นายม้ามา ควรเลี้ยงดูให้เป็นใหญ่.....ผู้ใดรบชนะ ได้หัวข้าศึกมาให้รางวัลหัวละ 300 เงินให้ไร่นา ที่ดินและเลี้ยงดูให้เป็นใหญ่ หากนายตีนได้หัวนายม้า ควรเลื่อนขึ้นเป็นนายม้า นายตีนได้หัวนายช้าง ควรเลื่อนขึ้นเป็นนายช้าง ให้มีฉัตรกั้น ให้ภริยาเครื่องทอง ทั้งทอง ปลายแขน เสื้อผ้าอย่างดี...."
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น